
"วัดน่าไป น่าทำบุญ น่าเช็คอิน @ วัดทั่วไทย"
9วัดดังในกรุงเทพ
วัดชนะสงคราม ราชวรมหาวิหาร วัดแห่งชัยชนะ @ ถนนข้าวสาร
วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร (wat chanasongkhram ratchaworamahawiharn) เป็นวัดดังถนนข้าวสาร ใครมีอุปสรรค มักมาขอพร ให้รอดพ้นภัย ชนะปัญหาต่างๆ ซึ่งวัดชนะสงครามนี้ เปรียบเสมือน วัดแห่งชัยชนะ
วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร อยู่ถนนจักรพงษ์ ใกล้ถนนข้าวสาร บางลำพู แขวงชนะสงคราม เป็นวัดเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ “วัดกลางนา” เนื่องจากมีทุ่งนาล้อมรอบ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ทรงย้ายราชธานีจากฝั่งกรุงธนบุรีมาฝั่งพระนคร และทรงสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้น ในช่วงนั้นยังมีศึกสงครามอยู่ พระองค์โปรดฯ ให้สมเด็จ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ซึ่งเป็นแม่ทัพสำคัญ รวบรวมชาวมอญมาเป็น กองกำลังในการรบกับข้าศึก ให้ชาวมอญตั้งถิ่นฐานใกล้บริเวณวัดกลางนา และให้พระสงฆ์มอญมาอยู่จำพรรษาที่วัดนี้ ชาวบ้านจึงเรียกวัดนี้เป็นภาษามอญว่า “วัดตองปุ” โดยได้ลอกเลียนนามวัดและขนบธรรมเนียบของวัดในกรุงศรีอยุธยาและลพบุรี ซึ่งเป็นวัดที่พระสงฆ์รามัญจำพรราาอยู่มาใช้
ต่อมา รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดให้ วัดตองปุ เป็นวัดของสงฆ์ฝ่ายรามัญ เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีแก่ทหารรามัญในกองทัพ ที่เป็นกำลังสำคัญในการรบกับพม่า หลังจากบ้านเมืองสงบสุขไม่มีศึกกับพม่าแล้ว ทรงสถาปณาวัดใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง แล้วน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง ต่อมารัชการที่ 1 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ตามเหตุการณ์ ซึ่งทำการรบเอาชนะพม่าได้ถึง 3 ครั้ง ระหว่างปี พ.ศ. 2328-2330 ว่า “วัดชนะสงคราม”
ข้อมูลการติดต่อ วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร
ที่อยู่ : ถนนจักรพรรดิพงษ์ แขวงบางลำพู เขตพระนคร กรุงเทพมหานครเบอร์โทร : 02-281- 9396วันเปิดทำการ : ทุกวันเวลาเปิดทำการ : 08.00 – 16.00แผนที่
วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร วัดใจกลางมหานคร
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร (Wat Pathum Wanaram) วัดกลางเมืองบนดินแดนสงบและงดงามท่ามกลางป่าคอนกรีต ตั้งอยู่ระหว่างศูนย์การค้าสยามพารากอนและห้างเซ็ลทรัลเวิร์ด เป็นวัดที่ยังคงความสงบ น่าเข้าไปสัมผัสยิ่งนัก
ประวัติวัด
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ ถนนพระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร วัดสถาปนาขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชประสงค์ให้สร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2400 บริเวณด้านทิศตะวันตกของสระนอกเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแก่สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระมเหสี และพระราชทานนามวัดว่า “วัดปทุมวนาราม” แต่ชาวบ้านมักเรียกว่า “วัดสระปทุม”
“พระสายน์” หรือ พระไส ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถของวัดปทุมวนาราม ก็เป็นพระพุทธรูปที่อัญเชิญมาจากเมืองมหาไชย แขวงล้านช้าง ในสมัยรัชกาลที่ 4 เช่นกัน โดยพระแสนและพระสายน์นั้นต่างก็มีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ตรงที่เมื่อใดเกิดฝนแล้ง ก็จะอัญเชิญท่านออกมาบูชากลางแจ้งและบูชาขอฝนจากท่าน ฝนก็จะตกลงมาได้
จิตกรรมภายในพระอุโบสถ จะถูกวาดเป็นรูปสระดอกบัว เหมือนดั่งที่ชาวบ้านต่างเรียกชื่อวันปทุมวราราม ว่า “วัดสระปทุม”
พระเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ พระราชสรีรางคาร และพระอัฐิของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ในราชสกุลมหิดลหลายพระองค์ เช่น สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก, สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร, พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
พระวิหาร แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระเสริม และพระแสน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ แบบศิลปะล้านช้างเวียงจันทน์ “พระเสริม” นั้นเป็นพระพุทธรูปพี่น้องกับ “พระสุก” และ “พระใส” ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 3 กองทัพสยามเดินทางไปตีเมืองเวียงจันทน์เพื่อปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ เมื่อกองทัพจะเดินทางกลับบ้านเมือง ก็ได้อัญเชิญพระพุทธรูปมาจากเมืองเวียงจันทน์มาด้วยหลายองค์ด้วยกัน รวมทั้ง พระสุก พระใส และพระเสริม
แต่ในขณะที่เคลื่อนย้ายพระพุทธรูปมาทางลำน้ำงึมออกแม่น้ำโขง ก็ได้เกิดพายุฝนตกหนัก จนทำให้พระสุกหล่นจากแท่นประดิษฐานจมลงใต้แม่น้ำ บริเวณนั้นต่อมาจึงเรียกกันว่าเวินพระสุก หรือเวินสุก ส่วนพระเสริมและพระใสก็ได้อัญเชิญข้ามมายังฝั่งไทยได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อจะอัญเชิญต่อมายังกรุงเทพฯ ก็ปรากฏว่าเกวียนที่ประดิษฐานพระใสนั้นเกิดหักลงอยู่ตรงหน้าวัดโพธิ์ชัย เมืองหนองคาย ทำอย่างไรก็ไปต่อไม่ได้ จึงต้องอัญเชิญพระใสให้ประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ชัย เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองหนองคายมาแต่บัดนั้น ส่วนพระเสริมนั้นอัญเชิญต่อมาได้จนถึงกรุงเทพฯ และมาประดิษฐานไว้ที่วัดปทุมวนารามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ส่วน “พระแสน” พระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งซึ่งประดิษฐานอยู่ในอุโบสถเดียวกันกับพระเสริม เดิมประดิษฐานอยู่ในถ้ำที่เมืองมหาไชย แขวงล้านช้าง แต่ได้อัญเชิญมายังกรุงเทพฯ เมื่อรัชกาลที่ 4 มีพระราชประสงค์จะอัญเชิญพระพุทธรูปโบราณจากล้านช้างมาประดิษฐานไว้ในพระอารามที่ทรงสร้างขึ้นใหม่หลายแห่ง
นอกจากนี้ วัดปทุมวนารามยังมีส่วนที่ใช้ในการปฏิบัติธรรมเรียกว่า “สวนป่าพระราชศรัทธา” บรรยากาศร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด พอได้เข้าไปสัมผัส สวนป่าพระราชศรัทธา แล้วทำให้จิตใจสงบร่มเย็น เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก วัดปทุมวนารามใจกลางเมืองแห่งนี้นับว่า “เป็นดินแดนสงบ อันงดงาม ท่ามกลางป่าคอนกรีต”
ข้อมูลวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร
ที่ตั้ง : 969 ถนนพระราม1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
เวลาทำการ : 8.00 -17.00 น.
เบอร์โทร : 02-256-6469, 02-251-6478
รายละเอียดสถานที่ปฏิบัติธรรม “สวนป่าพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม“
ภาพโดย : insidewatthai
แผนที่
สวนป่า วัดปทุมวนาราม สุดยอด สถานที่ ปฏิบัติธรรมใจกลางมหานคร
สวนป่าพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร (Wat Pathum Wanaram) วัดดัง ใจกลางมหานคร ที่น่าไปปฏิบัติธรรม แสวงหาความสุขเป็นอย่างมาก ที่นี่สงบ ร่มรื่น ร่มเย็น เป็นสถานที่กลางเมือง ที่น่าไปค้นหาความสุขได้ทุกวัน
ก้าวแรกที่เดินเข้าไปในธรรมสถานแห่งนี้ คุณจะรู้สึกเสมือนเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่งโดยสิ้นเชิง มีต้นไม้สูงใหญ่ร่มรื่นอยู่มากมายภายใน “วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร” หรือที่ชาวบ้านมักเรียกว่า “วัดสระปทุม” แห่งนี้ สร้างขึ้นมาโดยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔)
ในทุกๆ วันจะมีกิจกรรมสวดมนต์ทำวัตรเย็น ฟังธรรมและนั่งสมาธิ ที่ศาลาพระราชศรัทธา สวนป่า วัดปทุมวนาราม โดยเริ่มสวดมนต์ทำวัตรเย็นในเวลา 17.00 น. เป็นประจำทุกวัน โดยทางวัดจะจัดเตรียมอาสนะ หนังสือสวดมนต์ และผ้าคลุ่มเขาไว้ให้บริหารผู้เดินทางมาทำกิจกรรม
ระหว่างวัน สามารถเข้ามานั่งสมาธิ พักใจที่บนศาลา สวนป่า วัดปทุมวนาราม ทางวัดจะเตรียมเบาะรองนั่งไว้ให้ พร้อมเปิดเสียงธรรมะ ให้ฟังตลอดทั้งวัน
และภายในศาลา สวนป่า วัดปทุมวนาราม ยังมี พระบรมสารีริกธาตุ ให้คนที่มาร่วมปฏิบัติธรรมได้กราบสักการะโดยทางวัดจะมีดอกบัวเตรียมไว้ให้ แล้วแต่จะร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
ในช่วงเย็นของทุกวันจะได้พบเห็นสามเณร มากวาดลานวัดใน สวนป่า วัดปทุมวนาราม เพื่อเตรียมคอยต้อนรับผู้มีบุญเดินทางมาสวดมนต์ ทำวัตรเย็น ใครสนใจมาเอากวาดลานวัดก็สามารถมารับบุญได้ทุกวันเช่นกัน
ในตลอดช่วงเข้าพรรษาจะมีกิจกรรม “เนสัชชิกธรรมบูชา” เป็นการปฏิบัติธรรม เจริญจิตตภาวนา ด้วยอิริยาบถ 3 “ยืน เดิน นั่ง” ไม่นอนตลอดราตรี ในทุกคืนวันเสาร์ ณ ศาลาพระราชศรัทธา
กิจกรรมใส่บาตรทุกเช้า ในทุกวัน
หากต้องการใส่บาตรพระสงฆ์ สามเณร สามารถเตรียมข้าวของทั้งของแห้งและข้าวปลาอาหารหรือมาซื้อหาได้ใน สวนป่า วัดปทุมวนาราม จะมีร้านค้าเริ่มเปิดขายเวลา 6.30 น. สำหรับข้าวสวยทางเจ้าหน้าได้เตรียมข้าวใส่ถ้วยไว้ให้โดย ราคาตามศรัทธาคือหยอดตู้บริจาค
เวลา 7.00น. จะมีพระสงฆ์เดินบิณฑบาต
หลังจากบิณฑบาตแล้วมีการแสดงพระธรรมเทศนาจากพระลูกศิษย์หลวงพ่อถาวร จิตฺตถาวโร (พระเทพวิมลญาณ) กิจกรรมธรรมะช่วงเช้านี้จะเสร็จสิ้นไม่เกิน 8.00 น. เพื่อให้ผู้ที่ทำงานได้กลับไปทำงานต่อได้
*****วันพระ, วันอังคาร, วันอาทิตย์ ช่วงเช้าตอนพระขึ้นแสดงธรรมจะมีการสมานทานศีลและถวายสังฆทาน คือการนำสิ่งของที่ใส่บาตรไปทำถวายสังฆทานยังวัดอื่นๆ อีกด้วย
บรรยากาศภายในวัด สงบร่มเย็นเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก ใครที่ต้องการหลีกเร้น หนีความวุ่นว่าย มาทำจิตใจให้สงบได้ที่วัดปทุมวนาราม วัดกลางกรุง ที่เมื่อได้เข้ามาสัมผัสแล้ว จะรู้สึกได้ว่า “จิตใจสงบจริงๆ” ถ้าใครยังไม่เคยได้ไปสัมผัส ต้องลองไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วคุณจะนึกไม่ถึงเลยว่า “จะมีสถานที่แบบนี้ มีอยู่จริงๆ ในใจกลางมหานคร”
ข้อมูลสถานที่ปฏิบัติธรรม วัดปทุมวนาราม
ที่อยู่ : ถนนพระราม 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
แนวการปฏิบัติธรรม : แนวหลวงปู่เสาร์ – หลวงปู่มั่น ภาวนา “พุธโธ”
– กิจกรรมที่มีทุกวัน :
07.00- 08.00 น. ตัวแทนคณะสงฆ์ – สามเณร ออกรับบิณฑบาตร ณ ลานด้านหน้า ศาลาพระราชศรัทธา08.30 – 09.00 น. สวดมนต์วัตรเช้า นั่งสมาธิ ณ พระวิหารวัดปทุมวนาราม
17.00 – 21.00 น. สวดมนต์ทำวัตรเย็น นั่งสมาธิ ณ ศาลาพระราชศรัทธา– เพิ่มกิจกรรมทุกวันอาทิตย์ :
13.00 น. ฟังธรรมเทศนา โดยพระเถราจารย์วัดปทุมวนาราม ณ ศาลาพระราชศรัทธา
– กิจกรรมการปฏิบัติธรรมตามวาระต่างๆ จะประชาสัมพันธ์ให้ทราบทางเพจวัดปทุมวนาราม
– ตลอดช่วงเข้าพรรษาจะมีกิจกรรม “เนสัชชิกธรรมบูชา” เป็นการปฏิบัติธรรม เจริญจิตตภาวนา ด้วยอิริยาบถ 3 “ยืน เดิน นั่ง” ไม่นอนตลอดราตรี ในทุกคืนวันเสาร์ ส่วนนอกพรรษา ให้โทรสอบถามทางวัดว่ามีจัดกิจกรรม เนสัชชิกธรรม อีกเมื่อไร
โทรศัพท์ : 02 251 4325, 086-897-1823
ภาพโดย : insidewatthai
แผนที่
วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดภูเขาทอง) – วัดน่าเที่ยว @กรุงเทพมหานคร
วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดภูเขาทอง) ตั้งอยู่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร เป็นวัดเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นวัดที่มีความงดงามมาก มีพระเจดีย์สีทองอร่ามตั้งสูงเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางใจกลางมหานคร
วัดสระเกศ (Wat Sraket Rajavaravihara) เป็นวัดโบราญในสมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า วัดสะแก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชการที่ 1 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และขุดคลองรอบพระอาราม แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า วัดสระเกศ ซึ่งวัดแห่งนี้มีความสำคัญเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์ของชาติไทย และเกี่ยวข้องกับพระบรมราชจักรีวงศ์เรื่อยมาตั้งแต่สมัยรัชการที่ 1 ปัจจุบันวัดสระเกศเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรมหาวิหาร
พระบรมบรรพต เจดีย์ภูเขาทองนี้ มีประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ เป็นพุทธสถานที่สำคัญของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เพราะสร้างโดยพระมหากษัตริย์แห่งพระราชวงศ์จักรีถึง 3 พระองค์ด้วยกัน คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามลำดับ ใช้เวลาในการก่อสร้างเป็นเวลาประมาณ 5 ทศวรรษ ปัจจุบันมีอายุร่วม 200 กว่าปี บนยอดมีเจดีย์สีทองเหลืองอร่ามประดิษฐานอยู่ ได้จำลองแบบมาจากพระเจดีย์ของวัดภูเขาทองในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระบรมบรรพต เจดีย์ภูเขาทองนี้มีความสูงประมาณ 100 เมตร มีความกว้างโดยรอบเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 500 เมตร ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินประกอบพระราชพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่บูชาไว้ในพระบรมมหาราชวังประดิษฐานในพระเจดีย์ภูเขาทองเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2440 ครั้งที่ 2 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญจากเมืองกบิลพัสดุ์ ประเทศอินเดีย ครั้งที่ 3 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน เสด็จพระราชดำเนินทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดีย์ยอดพระมณฑปเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2497
ในส่วนของพระอาราม วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดภูเขาทอง) มีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญ ๆ เช่น พระอุโบสถซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ภายในมีจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งเขียนในสมัย รัชกาลที่ 3 แต่ชำรุดจึงมีการลบเขียนใหม่ใน รัชกาลที่ 7 เป็นภาพทศชาติ ภาพมารผจญและภาพไตรภูมิ รอบพระอุโบสถมีซุ้มเสมาตั้งประจำทั้ง 8 ทิศ ซุ้มเสมาที่วัดสระเกศเป็นทรงกูบช้างหรือซุ้มหน้านางประดับกระเบื้องงดงามถือเป็นแบบอย่างทางศิลปะ
พระวิหารพระอัฏฐารส หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบ มีช่อฟ้าใบระกา หน้าบันทั้งสองด้านประดับด้วยกระจกสี เป็นทีประดิษฐานพระพุทธรูปสำคับ 2 องค์ คือ พระอัฏฐารส และหลวงพ่อดุสิต นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์บทมหาสมัยสูตร เพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำหรับแจกจ่ายให้ประชาชน
พระอัฏฐารส มีพระนามเต็มว่า พระอัฏฐารสศรีสุคตทศพลญาณบพิตร เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ศิลปะสกุลช่างสมัยสุโขทัยตอนต้น อายุ 700 ปี เป็นประพุทธรูปยืนที่มีความสูงที่สุด ในกรุงเทพมหานคร มีความสูงถึง 5 วา 1 ศอก 10 นิ้ว (21 ศอก 1 นิ้ว) หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ โดยไม่มีการเชื่อมต่อ ประดิษฐานอยู่บนชุกชีในพระวิหาร
ธรรมดาเมืองหลวงแต่ก่อนย่อมมีพระอัฏฐารสเป็นประจำราชธานี เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุขปราศจากสงคราม ป้องกันความแตกแยกของคนในชาติ ให้คนในชาติเกิดความรักความสามัคคี และให้ประเทศชาติสถิตสถาพรมั่นคงยั่งยืนนาน ประหนึ่งพระพุทธปฏิมากรประทับยืนสถิตสถาพรเป็นนิรันดร์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดให้อัญเชิญพระอัฏฐารส มาจากวัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก มาประดิษฐานไว้ ณ พระวิหารวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดภูเขาทอง) แห่งนี้
หลวงพ่อดุสิต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย พระพุทธศิลป์สกุลช่างรัตนโกสินทร์ มีประวัติว่า เดิมเป็นพระประธานประจำพระอุโบสถวัดดุสิตมาก่อน เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชวังดุสิต และสวนดุสิตจำต้องขยายบริเวณเกินเนื้อที่วัดเบญจมบพิตรและวัดดุสิต จึงโปรดให้อัญเชิญพระประธานในพระอุโบสถวัดดุสิตไปประดิษฐานอยู่ในห้องด้านหลังพระวิหารพระอัฏฐารสซึ่งว่างอยู่ ภายหลังเรียกกันว่า “หลวงพ่อดุสิต” ประดิษฐานอยู่ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดภูเขาทอง) แห่งนี้จนทุกวันนี้
กิจกรรมงานบุญประจำปีของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดภูเขาทอง)
พิธีเจริญพระพุทธมนต์ “มหาสมัยสูตร” วันที่ 15 เมษายน ของทุกปี เวลา 17.00 น.
พิธีตักบาตเทโวโรหณะ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 เวลา 6.00 น.
พิธีอัญเชิญผ้าแดงห่มองค์พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 เวลา 6.00 น.
งานประเพณีนมัสการพระบรมสารีริกฐาตุประจำปี ระหว่างวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 ถึง แรม 2 ค่ำ เดือน 12 (ช่วงงานเทศกาลลอยกระทง 7 วัน 7 คืน) เวลา 6.00 – 24.00 น. ถือเป็นงานวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในกรุงเทพฯ และทางวัดจะเปิดให้ประชาชนขึ้นไปกราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุในตอนกลางคืนเป็น ช่วงเวลาพิเศษ
ข้อมูล วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร หรือ วัดภูเขาทอง
เปิด 7.30 – 19.00 น.
คนไทยเข้าฟรี ต่างชาติ 50 บาท/คน
เบอร์โทร : 02 621 2280
ภาพโดย : insidewatthai
แผนที่
วัดราชนัดดารามวรวิหาร พระเจดีย์ โลหะปราสาท 1 เดียวในโลก
วัดราชนัดดารามวรวิหาร พระเจดีย์ โลหะปราสาท 7 แผ่นดิน สู่ “เอกพุทธศิลป์สถาปัตย์รัตนโกสินทร์” หนึ่งเดียวในโลก @ พระนคร กรุงเทพมหานคร
วัดราชนัดดารามวรวิหาร (Wat Ratchanaddaram Worawihan) เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้น ณ ริมคลองรอบกรุง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระราชนัดดาพระองค์เดียวที่ทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2389 ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางนาฏโสมนัสวัฒนาวดี บรมอัครราชเทวี พระอัครมเหสีพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระเจดีย์ โลหะปราสาท วัดราชนัดดารามวรวิหาร เป็นชื่อดั้งเดิมของอินเดีย เรียกมาแต่ครั้งสมัยพุทธกาล หมายถึง คฤหาสน์ที่มียอดเป็นโลหะ สร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส มีหลายชั้นและใช้ประโยชน์เป็นส่วนสังฆวาส อุบัติขึ้นในโลกเพียง 3 แห่ง
แห่งแรก สร้างขึ้นในประเทศอินเดียเมื่อครั้งพุทธกาล ณ วัดบุพพาราม เมืองสาวัตถีซึ่งสูญสลายไปหมดสิ้นตามกาลเวลา
แห่งที่ 2 สร้างขึ้นในประเทศสรีลังกา ปัจจุบันปรักหักพังเหลือแต่ซากกองอิฐ ราวพุทธศักราช 387
แห่งที่ 3 สร้างขึ้นในประเทศไทย ณ วัดราชนัดดารามวรวิหาร พุทธศักราช 2389 สร้างในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยให้ช่างออกแบบก่อสร้างโลหะปราสาท แทนกาารสร้างเจดีย์ โดยการสร้างตามลักษณะโลหะปราสาทแห่งที่สองคือที่ประเทศศรีลังกา โดยเอาของเดิมมาเป็นแบบ แล้วปรับให้เป็นสถาปัตยกรรม ตามศิลปกรรมแบบไทย ซึ่งเป็นอันอันสะท้อนถึงพระราชศรัทธาอันแรงกล้าที่พระองค์มีต่อพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
นับว่าเป็นพระเจดีย์ โลหะปราสาทแห่งแรก แห่งเดียว ในประเทศไทย โดยสร้างเป็นอาคาร 7 ชั้น มียอดปราสาท 37 ยอด หมายถึง พระโพธิปักขิยธรรม (ธรรมเป็นไปในทางปัญญาเครื่องตรัสรู้) 37 ประการ ยอดปราสาทชั้น 7 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ กลางปราสาทเป็นช่องกลวง มีบันไดเวียน 67 ขั้น ให้เดินขึ้นไปดูทิวทัศน์ข้างบนได้
พระเจดีย์ โลหะปราสาท เป็นที่ประดิษฐานของ พระบรมสารีริกธาตุ เมื่อครั้งงานฉลองศิริราชสมบัติครบ 50 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2538-2539 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชการที่ 9 ท่านทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐาน ณ พระเจดีย์บุษบก โลหะปราสาท เมื่อวันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538
พระอุโบสถ วัดราชนัดดารามวรวิหาร ล้อมรอบด้วยแท่นซุ้มสีมา 8 ซุ้ม หน้าบันประดับด้วยกระจกสีน้ำเงินเข้ม มีช่อฟ้า ลำยอง นาคสะดุ้ง ใบระกา และหางหงส์ ตามแบบสถาปัตยกรรมไทย บานประตูหน้าต่างด้านในและส่วนลึกของช่องประตูเป็นภาพเขียนสีลายทวารบาล ส่วนลึกของบานหน้าต่างเป็นภาพรามเกียรติ์และอดีตชาติของพระพุทธเจ้า บานหน้าต่างด้านในเป็นรูปเทพต่าง ๆ
ภายในประดิษฐาน “พระพุทธเสฏฐุตตมมุนิทร์” พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ให้ขุดแร่ที่อำเภอจันทึก จังหวัดนครราชสีมา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ หล่อพระพุทธปฏิมากร และนำมาประดิษฐานยังวัดราชนัดดารามวรวิหาร
ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถทางด้านหลังพระประธาน เป็นภาพพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ เพื่อทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดพุทธมารดา ซึ่งต่างจากวัดอื่น ๆ ที่มักนิยมเขียนภาพพุทธประวัติตอนปราบมาร ส่วนผนังด้านข้างของพระอุโบสถ เป็นภาพสวรรค์ โดยมีองค์ประกอบเป็นภาพท้องฟ้า (กลุ่มดาวฤกษ์ต่าง ๆ) พระอาทิตย์ และพระจันทร์ พร้อมด้วยเทวดากำลังเหาะมาเป็นหมู่ ๆ
พระวิหาร วัดราชนัดดารามวรวิหาร เป็นอาคารทรงโรง สูงใหญ่ขนาดไล่เลี่ยกับพระอุโบสถ หน้าบันด้านหน้าและด้านหลังมีลวดลายเหมือนกันคือ ลายดอกพุดตาน ประดับด้วยกระจกสีปิดทอง เช่นเดียวกับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นลายปูนปั้นดอกพุดตานปิดทองที่ดอกลาย บานประตูหน้าต่างมีภาพเขียนสี ฐาน 2 ชั้น ภายในมีภาพเขียนที่เพดานและผนัง เพดานมีลายดาวและผีเสื้อ ฝาผนังมีลายเขียนสีดอกไม้ร่วง ฝาผนังด้านหลังพระพุทธรูปเป็นภาพนูนต่ำลายช้างสามเศียรแบกวิมาน ภายในวิมานมีพระพุทธรูป 3 องค์ ปางประทานพร 1 องค์ และปางสมาธิ 2 องค์ ปิดทองที่ลวดลาย ลายวิมานนี้เป็นเครื่องหมายประจำรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นวัดที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ลวดลายเขียนสีของฝาผนังด้านนี้เป็นลายเครือเถาดอกพุดตาน บริเวณคอสองเป็นลายพวงมาลัย เสาเหลี่ยมลบมุมไม่มีลวดลายที่ลายเสา มีระเบียงรอบพระวิหาร กำแพงรอบพระวิหารประดับด้วยกระเบื้องปรุ เช่น ลายประจำยาม ลายภายในวงกลม เป็นต้น ฐานพระวิหารเป็นฐานสิงห์
วัดราชนัดดารามวรวิหาร แห่งนี้ ใครยังไม่ได้มาเยือน ยังไม่ได้มากราบพระบรมสารีริกธาตุ ที่ประดิษฐานอยู่ชั้น 7 พระเจดีย์ โลหะปราสาท พระเจดีย์ที่มีความงดงามเป็นอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันได้ปฏิสังขร ตัวพระเจดีย์เป็นสีทอง เสร็จเรียบร้อยแล้ว สวยงามมากๆๆ
ข้อมูลวัดราชนัดดารามวรวิหาร
ที่ตั้ง : 2 ถนนมหาไชย แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
เบอร์โทร : 02-621-0451, 02-224-8807, 089-683-5953
ปราสาทโลหะเปิด : เวลา 09.00 – 16.50 น.
Email : watratchanadda@gmail.com
facebook : watratchanaddaram
ภาพโดย : insidewatthai
แผนที่
วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร @ วัดดังหน้า Landmark เสาชิงช้า
วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร 1 ใน 6 ของไทย และถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 8 หน้าเสาชิงช้า
วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนตีทอง 1 ถนนบำรุงเมือง หน้าวัดออกทางถนนอุณากรรณ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นวัดที่ติดกับถนน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านทิศตะวันออก ติดถนนอุณากรรณ์ ด้านทิศเหนือติดถนนบำรุงเมือง (เสาชิงช้า) ด้านทิศตะวันติดถนนตีทอง ด้วยเหตุนี้วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร จึงเป็นวัดที่มีประตูเข้าออกหลายทาง ด้านตะวันตกและด้านตะวันออกจะเป็นด้านที่ประชาชนที่ขับรถมาเองเข้า-ออกเป็นประจำเพราะถนนบำรุงเมืองจอดรถไม่ได้ เกาะกลางถนนบำรุงเมืองเป็นที่ตั้งของเสาชิงช้า
วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นใน พ.ศ. 2350 เดิมพระราชทานนามว่า “วัดมหาสุทธาวาส” โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารขึ้นก่อนเพื่อประดิษฐานพระศรีศากยมุนี (พระโต) ซึ่งอัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะสร้างพระวิหารให้มีขนาดใหญ่เท่ากับพระวิหารวัดพนัญเชิงเพื่อเป็นศรีสง่าแก่พระนคร แต่สิ้นรัชกาลก่อนที่จะประดิษฐานเป็นสังฆาราม จึงเรียกกันว่า วัดพระโต วัดพระใหญ่ หรือวัดเสาชิงช้าบ้าง
จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) โปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อ และทรงจำหลักบานประตูพระวิหารด้วยพระองค์เอง แต่ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ
การก่อสร้างวัด มาเสร็จบริบูรณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ใน พ.ศ. 2390 และพระราชทานนามว่า “วัดสุทัศนเทพวราราม” ปรากฏในจดหมายเหตุว่า “วัดสุทัศนเทพธาราม”
และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงผูกนามพระประธานในพระวิหาร พระอุโบสถ และศาลาการเปรียญ ให้คล้องกันว่า “พระศรีศากยมุนี” “พระพุทธตรีโลกเชษฐ์” และ “พระพุทธเสรฏฐมุนี” ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงปฎิสังขรณ์เพิ่มเติมอีก
ภายในวัดสุทัศนเทพวรารามยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และได้อัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ มาบรรจุที่ผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์พระศรีศากยมุนีเมื่อ พ.ศ. 2493 และมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลคล้ายวันสวรรคตในวันที่ 9 มิถุนายน ของทุกปี
พระวิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร จำลองมาจากวัดมงคลบพิตรที่กรุงศรีอยุธยา สิ่งที่น่าสนใจอีกสิ่งหนึ่งของวัดสุทัศน เทพวราราม คือบานประตูพระวิหารบานประตูพระวิหารหลวงเป็นบานไม้แกะสลักลายลึกเป็นรูปพฤกษามีกิ่งก้านใบและดอกตระหวัดเกาะเกี่ยวอ่อนช้อยงดงามมีสัตว์เกาะเหนี่ยวเหมือนธรรมชาติ ลวดลายเหล่านี้เป็นฝีพระหัตถ์ของพระบามสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่ทรงกำหนดลักษณะลายแบบวิธีการแกะและเริ่มแกะด้วยพระองค์ก่อน แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ช่างฝีมือแกะต่อเป็นบานประตูที่งดงามหาที่เปรียบมิได้ น่าเสียดายที่ปัจจุบันโดนไฟไหม้บางส่วนและเก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
รอบพระวิหารหลวงจะมีเจดีย์ศิลปะแบบจีนรายล้อมพระวิหารหลวง 28 องค์ เรียกว่า ถะรายพระวิหาร คำว่า “ถะ” เป็นเครื่องศิลาแบบจีนรูปแบบคล้ายอาคารหกเหลี่ยมซ้อนกันขึ้นไป 6 ชั้น แต่ะลชั้นเป็นช่องโปร่งซึ่งเป็นลักษณะของเรือนไฟใช้ตามประทีป ถะรายพระวิหารมี 28 ถะ หมายถึงพุทธ 28 พระองค์ ตั้งอยู่บนพนักฐานพระวิหารชั้นที่ 2
ภายในพระวิหารหลวงมี “พระศรีศากยมุนี” ประดิษฐานเป็นพระประธาน หล่อด้วยสำริด ขนาดหน้าตักกว้าง 6.25 เมตร เดิมเป็นพระประธานอยู่ในพระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ สุโขทัย สร้างสมัยราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย อายุกว่า 600 ปี
พระศรีศากยมุนี พระประธานพระวิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยกรุงสุโขทัย อายุราว 700 ปี หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ นับเป็นพระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานเป็นพระประธานพระวิหารหลวง ครั้งเมื่อเริ่มสร้างวัดเมื่อปีพุทธศักราช 2350 ตรงใต้ฐานที่ผ้าทิพย์บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8)
ข้อมูล วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร
สถานที่ตั้ง : ถ.บำรุงเมือง แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร จังหวัดกรุงเทพมหานคร
เบอร์โทร : 02-221-4331
เว็ปไซค์ : www.watsuthatt.com
facebook : watsuthateveningservice
ภาพโดย : insidewatth
แผนที่
วัดพระเชตุพน วิมลมังคลารามฯ หรือ วัดโพธิ์
วัดโพธิ์ หรือทางราชการว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร (Wat Phra Chetuphon Wimonmangalaram or Wat Pho) เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหารและเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี
พระอุโบสถ สร้างสมัยรัชกาลที่ 1 ตามแบบศิลปะอยุธยาตอนปลายและขยายใหญ่ขึ้นเท่าที่เห็นในสมัยรัชกาลที่ 3 ซุ้มจรณัมประจำประตูหน้าต่างฉลัก (สลัก) ด้วย ไม้แก่นยอดเป็นทรงมงกุฎลงรักปิดทองประดับกระจกบานประตูพระอุโบสถด้านนอกลาย ประดับมุกเป็นลายภาพเรื่องรามเกียรติ์ ด้านในเขียนลายรดน้ำรูปพัดยศพระราชาคณะพระครูสัญญาบัตรฐานานุกรมเปรียญทั้ง ฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสีในกรุงและหัวเมือง
พระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ นามว่า พระพุทธเทวปฏิมากรที่ฐานชุกชี ก่อไว้ 3 ชั้น ชั้นที่ 1 บรรจุพระบรมอัฐิและพระราชสรีรังคารรัชกาลที่ 1 ไว้ ชั้นที่ 2 ประดิษฐานรูปพระอัครสาวกทั้งสององค์ฐานชุกชี ชั้นล่างสุดประดิษฐานพระมหาสาวก 8 องค์ (พระอรหันต์ 8 ทิศ) จิตรกรรมประดับผนังพระอุโบสถเหนือต่างขึ้นไปเขียนเรื่องมโหสถบัณฑิต (มหาบัณฑิตแห่งมิถิลานคร) คอสองในประธานทั้งสองข้างเขียนเรื่องเมืองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ผนังประตูหน้าต่างเขียนเรื่องพระสาวกเอตทัคคะ 41 องค์บานหน้าต่างด้านในเขียนลายรดน้ำเป็นรูปตราประจำตำแหน่งเจ้าคณะสงฆ์ใน กรุงและหัวเมือง สมัยรัชกาลที่ 3 ด้านนอกแกะสลักเป็นลายแก้วชิงดวง
พระวิหารทิศตะวันออก ประดิษฐานพระ พุทธรูปปางมารวิชัย นามว่า “พระเจ้าตรัสในควงไม้พระมหาโพธิ์” (พระพุทธเจ้าตรัสรู้ประทับใต้ต้นโพธิ์) ต่อมารัชกาลที่ 4 ถวายพระนามใหม่ว่า “พระพุทธมารวิชัยอภัยปรปักษ์อัครพฤกษ์โพธิภิรมย์อภิสมพุทธบพิตร” มุขหลังประดิษฐานพระพุทธรูปยืนสูง 10 เมตร หล่อด้วยสำริดอัญเชิญมาจากวัดพระศรีสรรเพชญ์กรุงเก่ามานามว่า “พระพุทธโลกนาถศาสดาจารย์” และมีแผ่นศิลาจารึกการสถาปนาวัดโพธิ์ที่ผนังด้านตะวันตกซุ้มประตูหิน (แบบจีน) หน้าพระพุทธโลกนาถบางท่านเรียกว่า “โขลนทวาร” (ประตูป่าหรือประตูสวรรค์) เข้าใจว่านำมาจากประเทศจีน
พระวิหารทิศใต้ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา อัญเชิญมาจากกรุงเก่านามว่า “พระพุทธชินราช วโรวาทธรรมจักร อัครปฐมเทศนา นราศภบพิตร”
พระวิหารทิศตะวันตก ประดิษฐานพระพุทธรูปปางนาคปรก อัญเชิญมาจากลพบุรีนามว่า “พระพุทธชินศรีมุนีนาถ อุรคอาสนบัลลังก์ อุทธังทิศภาคนาคปรกดิลกภพบพิตร”
พระวิหารทิศเหนือ ประดิษฐานพระปางป่าเลไลยก์ นามว่า “ พระพุทธปาลิไลย ภิรัติไตรวิเวก เอกจาริกสมาจาร วิมุติญาณบพิตร “ เป็นพระพุทธรูปที่หล่อขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ 1 เพียงองค์เดียวเท่านั้น
พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล พระมหาเจดีย์ทั้งสี่องค์อยู่ในบริเวณกำแพงสีขาว ซุ้มประตูทางเข้าเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์แบบจีน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ เครื่องถ้วยหลากสี มีตุ๊กตาหินจีนประตูละคู่ พระมหาเจดีย์แต่ละองค์เป็นเจดีย์ย่อไม้สิบสองเพิ่มมุมสูง 42 เมตร ประดับกระเบื้องเคลือบและกระเบื้องเครื่องถ้วยลวดลายต่างๆ สังเกตได้ง่าย
พระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1 หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนแล้วเสร็จ จึงโปรดเกล้าให้สร้างพระเจดีย์ใหญ่ขึ้น เพื่อครอบพระศรีสรรเพชญ์ที่กรุงศรีอยุธยา พระเจดีย์องค์นี้ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว สูง 42 เมตร ถวายพระนามเจดีย์องค์นี้ว่า “พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ”
พระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2 เมื่อคราวปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนทั้งพระอาราม ใน พ.ศ. 2375 นั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นเพื่อพระราชอุทิศถวายสมเด็จพระบรมราชชนก (รัชกาลที่ 2) องค์พระเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบขาว ได้พระราชทานนามภายหลังว่า “พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน”
พระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นส่วนพระองค์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา องค์พระเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ได้พระราชทานนามภายหลังว่า “พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร”
พระมหาเจดีย์รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ ตามแบบพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย วัดสวนหลวงสบสวรรค์ จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา พระเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวหรือสีน้ำเงินเข้ม พระเจดีย์องค์นี้สร้างเสร็จในสมัยรัชการที่ 5 แต่มิได้พระราชทานนามไว้จึงเรียกต่อๆ กันว่า “พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย”
ข้อมูล
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร
ตั้งอยู่ริมถนนสนามไชยและถนนมหาราช ติดกับพระบรมมหาราชวัง
แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
เปิดให้เข้าชมทุกวัน ระหว่างเวลา 08.00 – 17.00 น.
คนไทย เข้าฟรี
ชาวต่างชาติจะต้องซื้อบัตรเข้าชมคนละ 20 บาท (ตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ.2562 เพิ่มราคาเป็น 200 บาท)
สำหรับนักท่องเที่ยวต้องแต่งกายสุภาพ สุภาพสตรี ห้ามสวมกางเกงขาสั้นเหนือเข่าเข้าไปเที่ยวชม
สอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 02-222-7831, 02-225-9595, 08-221-9449
http://www.watpho.com
facebook : watphonews
ภาพโดย : insidewatthai
แผนที่
วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร วัดงดงาม กลางกรุง สมัยรัตนโกสิทร์

วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร (Wat Bowonniwet Vihara) เป็นพระอารามหลวงแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เป็นวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามด้านสถาปัตยกรรมและจิตกรรมฝาผนังเป็นอย่างมาก เป็นการผสมผสานระหว่างชาติตะวันตก จีน และไทย ได้อย่างสวยงาม
วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร เป็นวัดชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ต้นถนนตะนาวและถนนเฟื่องนคร บางลำภู กรุงเทพฯ แต่เดิมวัดนี้เป็นวัดใหม่อยุ่ใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาส ต่อมาได้รวมเข้าเป็นวัดเดียวกัน โดยกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ ในรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขั้นใหม่ วัดนี้ได้รับการทะนุบำรุง และสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆขึ้นจนเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง โดยเฉพาะในสมัยปลายรัชกาลที่ 3 เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฟ้ามงกุฏ ซึ่งผนวชเป็นพระภิกษุอยู่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) เสด็จมาครอง เมื่อ พ.ศ. 2375 ทำให้วัดนี้ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ และเสริมสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้น
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชาคณะเสด็จประทับที่วัดนี้แล้วทรง บูรณะปฏิสังขรณ์และสร้างถาวรวัตถุต่างๆเพิ่มเติมขึ้นหลายอย่าง พร้อมทั้งได้รับพระราชทาน ตำหนักจากรัชกาลที่ 3 ด้วย ในสมัยต่อมาวัดนี้ เป็นวัดที่ประทับของพระมหากษัตริย์ เมื่อทรง ผนวชหลายพระองค์ เช่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 และ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน จึงทำให้วัดนี้ได้รับการทะนุบำรุงให้คงสภาพดีอยู่เสมอ ในปัจจุบัน นี้ ศิลปกรรมโบราณวัตถุ และ ศิลปวัตถุ หลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในสภาพดีพอที่จะชม และ ศึกษาได้ เป็นจำนวนไม่น้อย

พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร ศิลปกรรมในเขตพุทธาวาสที่สำคัญเริ่มจากพระอุโบสถซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แต่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมต่อมาอีกหลายครั้ง รูปแบบของพระอุโบสถ ที่สร้างตามแบบ พระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 มีมุขหน้ายื่นออกมา เป็นพระอุโบสถและมีปีกยื่นออก ซ้ายขวา เป็นวิหารมุขหน้าที่เป็นพระอุโบสถมีเสาเหลี่ยมมีพาไลรอบซุ้มประตูหน้าต่าง และ หน้าบันประดับด้วยลายปูนปั้น
พระอุโบสถวัดบวรนิเวศ หลังนี้ได้รับการบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยโปรดฯ ให้มุงกระเบื้องเคลือบลูกฟูก ประดับ ลายหน้าบันด้วยกระเบื้องเคลือบสี และโปรดฯให้ขรัวอินโข่งเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ ส่วนภายนอกได้รับการบูรณะ บุผนัง ด้วยหินอ่อนทั้งหมด เสาด้านหน้าเป็นเสาเหลื่ยมมีบัวหัวเสาเป็นลายฝรั่ง ซุ้มประตูหน้าต่างปิดทองประดับกระจก
ด้านหน้ามีใบเสมารุ่นเก่าสมัยอู่ทองทำด้วยหินทรายแดงนำมาจากวัดวังเก่า เพชรบุรี ส่วนใบเสมาอื่นทำแปลกคือติดไว้กับผนังพระอุโบสถแทน การตั้งไว้บนลานรอบพระอุโบสถ หลังพระอุโบสถเป็นเจดีย์กลมสมัยรัชกาลที่ 4 ต่อมาได้หุ้มกระเบื้องสีทอง ในรัชกาลปัจจุบัน

พระสุวรรณเขต หรือเรียกว่าหลวงพ่อโต หรือ “หลวงพ่อเพชร” คือพระประธานองค์ใหญ่ ตั้งอยู่ด้านในสุดของ วัดบวรนิเวศ เป็นพระประธานองค์แรกของพระอุโบสถนี้ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระพุทธรูปโลหะ ลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยา หน้าตักกว้าง 9 ศอก 21 นิ้ว พระยาชำนิหัตถการได้ปั้นพอกพระศกให้มีขนาดดังที่เห็นในปัจจุบันแล้วลงรักปิดทอง ด้านข้างพระพุทธรูปองค์นี้มีพระอัครสาวกปูนปั้นหน้าตัก 2 ศอก ข้างละ 1 องค์
พระพุทธชินสีห์ ประดิษฐานอยู่ข้างหน้าพระพุทธสุวรรณเขต เป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย หน้าตักกว้าง 5 ศอก 4 นิ้ว สองข้างพระพุทธชินสีห์มีรูปพระอัครสาวกคู่หนึ่ง สันนิษฐานว่า สมเด็จพระธรรมราชาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย โปรดให้สร้างขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันกับพระพุทธชินราช และพระศรีศาสดา เดิมประดิษฐานอยู่ที่พระวิหารด้านทิศเหนือของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ต่อมาวิหารชำรุดทรุดโทรมลง สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาศักดิพลเสพ จึงโปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานที่มุขหลังของพระอุโบสถจัตุรมุข วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อพุทธศักราช 2374

พระวิหารพระศาสดา วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขตพุทธาวาส ต่อจากพระเจดีย์และวิหารเก๋ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างในพุทธศักราช 2402 เดิมที่นี้เป็นคูและที่ตั้งคณะลังกา แต่โปรดให้ถมและรื้อเพื่อสร้างพระวิหาร พระวิหารหลังนี้มีขนาด 5 ห้อง มีเฉลียงรอบ ภายในแบ่งเป็น 2 ตอน คือทางทิศตะวันออก 3 ห้อง ประดิษฐานพระศาสดา ทิศตะวันตก 2 ห้อง ประดิษฐานพระพุทธไสยา หลังคาซ้อนชั้น 2 ชั้น หน้าบันรวยระกาไม่มีลำยอง ลวดลายหน้าบันเป็นปูนปั้นรูปดอกพุดตาน ตรงกลางเป็นรูปพระมหามงกุฎประดิษฐานบนพาน มีฉัตร 2 ข้าง ซึ่งเป็นพระบรมราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ 4 หลังคามุงกระเบื้องกาบกล้วย ซุ้มประตูหน้าต่างด้านนอกเป็นลวดลายปูนปั้นรูปดอกพุดตานใบเทศปิดทอง ตรงกลางซุ้มด้านบนทำเป็นรูปพระมหามงกุฎมีฉัตรอยู่ 2 ข้างเช่นเดียวกับหน้าบัน การก่อสร้างวิหารพระศาสดาค้างมาจนถึงรัชกาลที่ 5 โปรดให้ดำเนินการต่อ โปรดให้ปิดทองพระศาสดา พระพุทธไสยาและซุ้มประตูหน้าต่าง เขียนภาพจิตรกรรมที่บานประตู หน้าต่าง เพดานและผนัง

พระศาสดา เป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย หน้าตักกว้าง 4 ศอก 4 คืบ 8 นิ้ว เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุพิษณุโลก ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี ให้อัญเชิญพระศาสดาจากเมืองพิษณุโลกมาไว้ที่วัด ครั้นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค)ทราบเรื่อง จึงให้อัญเชิญพระศาสดาจากวัดบางอ้อยช้างมาไว้ที่วัดประดู่ฉิมพลี ซึ่งเป็นวัดที่ท่านสร้างขึ้น ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบและมีพระราชดำริว่า พระศาสดานั้นสร้างขึ้นพร้อมกับพระพุทธชินสีห์ซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาศักดิพลเสพทรงให้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร พระศาสดาก็ควรประดิษฐานอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหารที่เดียวกับพระพุทธชินสีห์ เป็นเสมือนพระพุทธรูปผู้พิทักษ์พระพุทธชินสีห์ แต่ยังมิได้สร้างสถานที่ประดิษฐาน จึงโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานยังมุขหน้าพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวรารามไปพลางก่อนเมื่อพุทธศักราช 2396 ครั้นสร้างพระวิหารพระศาสดาจวนแล้วเสร็จจึงโปรดให้อัญเชิญพระศาสดามาประดิษฐาน เมื่อพุทธศักราช 2407

พระพุทธไสยา วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร เป็นพระพุทธรูปสำริดลงรักปิดทองปางไสยาสน์ สมัยสุโขทัย ยาวตั้งแต่พระบาทถึงพระจุฬา 6 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว สร้างขึ้นราว พุทธศักราช 1800 – 1893 เดิมประดิษฐาน ณ วัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งยังทรงผนวชอยู่ ได้เสด็จประพาสเมืองสุโขทัย เมื่อพุทธศักราช 2376 ทอดพระเนตรว่ามีลักษณะงามกว่าพระไสยาองค์อื่นๆ ครั้นเมื่อเสด็จประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร จึงได้โปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่มุขหลังของพระอุโบสถ เมื่อพุทธศักราช 2390 ครั้นสร้างวิหารพระศาสดาแล้วจึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่วิหารพระศาสดาห้องทิศตะวันตก ที่ฐานพระพุทธไสยาบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

จิตรกรรมฝาผนังวิหารพระศาสดา เป็นจิตรกรรมที่เขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 จากรูปแบบของภาพจิตรกรรมอาจกล่าวได้ว่าเป็นฝีมือลูกศิษย์ของขรัวอินโข่ง เรื่องราวในภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารพระศาสดาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ภาพจิตรกรรมในห้องพระศรีศาสดา และจิตกรรมให้ห้องพระไสยา

เรื่องราวที่ปรากฏในงานจิตรกรรมฝาผนังช่วงรัชกาลที่ 4-5 ในสกุลช่างขรัวอินโข่งนิยมเขียนเรื่องที่เป็นพงศาวดาร หรือปริศนาธรรม เป็นส่วนใหญ่ ในวิหารพระศาสดานี้ก็เป็นเรื่องธุดงควัตร 13 เป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อที่พระสงฆ์ปวารณาตัวเพื่อประพฤติปฏิบัติ เพื่อกำจัดกิเลส เรื่องตำนานการสร้างพระพุทธรูปที่สำคัญ คือ พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา ก็เป็นเรื่องแสดงความยึดมั่นนับถือและศรัทธาในพระพุทธศาสนา ส่วนภาพจิตรกรรมในห้องพระไสยาแม้จะเป็นภาพเรื่อพุทธประวัติตอนปรินิพพาน แต่ก็มีรูปแบบต่างไปจากภาพเขียนในอดีตที่มักเขียนเป็นภาพเรื่องราวตั้งแต่ทรงปรารภเรื่องปรินิพพานกับพระอานนท์ การเดินทางไปเมืองกุสินารา การรับบิณฑบาตและฉันอาหารมื้อสุดท้ายจากนายจุนนะ ทรงอาพาธ สุภัทธะปริพาชกบวชเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทาเป็นรูปสุดท้าย และภาพตอนมหาปรินิพพานใต้ต้นสาละ ส่วนจิตรกรรมในห้องพระไสยานั้นใช้พระไสยาเป็นองค์ประกอบภาพแทนพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานและเขียนภาพไม้สาละคู่ และเหล่าพระสาวกซึ่งเป็นรูปแบบการเขียนที่แปลกออกไปจากเดิม

พระเจดีย์ใหญ่ วัดบวรนิเวศวิหารก่อพระฤกษ์เมื่อเดือน 10 ขึ้น 11 ค่ำ ปีเถาะ ตรีศก จ.ศ.1193 (วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พุทธศักราช 2374) ในสมัยรัชกาลที่ 3 และใช้เวลาก่อสร้างต่อมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 องค์พระเจดีย์มีสัณฐานกลม มีคูหาภายในเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ มีทักษิณ 2 ชั้นเป็นสี่เหลี่ยม ที่องค์พระเจดีย์มีซุ้มเป็นทางเข้าสู่คูหา 4 ซุ้ม กลางคูหาพระเจดีย์ประดิษฐานพระเจดีย์กาไหล่ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และมีพระเจดีย์องค์ประดิษฐานอยู่โดยรอบพระเจดีย์กาไหล่ทองอีก 4 องค์ คือ ด้านตะวันตก พระไพรีพินาศเจดีย์ ด้านใต้ พระเจดีย์บรมราชานุสรณ์พระชนมพรรษา 5 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ด้านตะวันออก เป็นพระเจดีย์ไม้ปิดทอง ด้านตะวันตก พระเจดีย์โลหะปิดทอง

ตำหนักปั้นหยา เป็นตึกฝรั่ง 3 ชั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างพระราชทานพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฏ เมื่อทรง อาราธนาให้เสด็จมาประทับที่วัดนี้ และประทับอยู่ที่ตำหนักปั้นหยาตลอดเวลาผนวช ต่อมา ตำหนักนี้ได้เป็นที่ประทับของเจ้านายหลายพระองค์ที่ผนวชและประทับอยู่ที่วัดนี้ รูปทรงของ ตำหนักเป็นตึกก่ออิฐถือปูนหน้าจั่วประดับด้วยกระเบื้องเคลือบอยู่ซ้ายมือของกลุ่ม ตำหนัก ต่างๆ

ตำหนักจันทร์ เป็นตำหนักที่พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงสร้างด้วยทรัพย์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจันทราสรัทธาวาส กรมขุน พิจิตเจษฐฃฏาจันทร์ถวายเป็นที่ประทับของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระวชิรญาณวโรรส ในบริเวณตำหนักจันทร์ด้าน ทิศตะวันออกติดกับรั้วเหล็กมีศาลาเล็กๆ มีพาไล 2 ด้าน ฝาล่องถุนก่ออิฐถือปูนโถงเป็นเครื่องไม้ หลังคามุงกระเบื้อง ศาลาหลังนี้เดิมเป็นพลับพลา ที่ ประทับของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง สร้างไว้ในสวนพระราชวังเดิม โปรดให้ย้ายมาปลูกไว้ เมื่อ พ.ศ.2452ในกลุ่มพระตำหนัก นี้

พระตำหนักเพ็ชร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักเพ็ชร ถวายเป็นท้องพระโรงแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อปีพุทธศักราช 2457 ที่ตั้งพระตำหนักนี้ เคยเป็นที่ตั้งโรงพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งทรงครองวัดนี้ สำหรับพิมพ์บทสวดมนต์ และหนังสือพุทธศาสนาอื่นๆแทนหนังสือใบลาน โดยใช้ตัวพิมพ์เป็นอักษรอริยกะที่ทรงประดิษฐ์ขึ้นใหม่
วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าเข้า น่าท่องเที่ยววัดในกรุงเทพ เป็นวัดพระอารามหลวง ที่น่าไปเช็คอินเป็นอย่างมาก
Share website
วัดป่าถ้ำวัว

ดินแดนอันสงบ

Top view
- บทสวดมนต์ทำวัตรเช้า108,772 views
- วัดป่าถ้ำวัว จ.แม่ฮ่องสอน สุดยอดสถานที่ปฏิบัติธรรม 1 ใน 5 ของโลก26,428 views
- วัดชนะสงคราม ราชวรมหาวิหาร วัดแห่งชัยชนะ @ ถนนข้าวสาร22,406 views
- สวนป่า วัดปทุมวนาราม สุดยอด สถานที่ ปฏิบัติธรรมใจกลางมหานคร20,457 views
- วัดปลายนา สถานที่ปฏิบัติธรรมเงียบสงบ อยู่ปลายนา จ.ปทุมธานี20,410 views
Downloads
- Download บทสวดธัมมจักรกัปวัตนสูตร (1626 downloads)
- Download บทสวดมนต์ทำวัตรเช้า (1484 downloads)
- Download บทสวดมนต์ทำวัตรเช้า แปล (1291 downloads)
- Download สวดมนต์ทำวัตรเย็น (1799 downloads)
- Download สวดมนต์ทำวัตรเย็น (แปล) (1349 downloads)
Recent Posts
- วัดปลายนา สถานที่ปฏิบัติธรรมเงียบสงบ อยู่ปลายนา จ.ปทุมธานี
- วัดตาลเอน จ.อยุธยา
- บทสวดมนต์ทำวัตรเย็น (แปล)
- บทสวดมนต์ทำวัตรเย็น
- บทสวดมนต์ทำวัตรเช้า แปล